วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Conceptual Art



คอนเซ็ปชวล อาร์ต
Conceptual Art



ต้นคริสต์ทศวรรษ 1960-ปลาย 1970ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960-1970 นับได้ว่าเป็นช่วง 20กว่าปีที่วงการศิลปะตะวันตกคึกคักเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และในช่วงนี้เองที่เกิดกระแสศิลปะที่สำคัญอีกกระแสหนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 คอนเซ็ปชวล อาร์ต (Conceptual Art) คือชื่อที่ได้จากข้อเขียนอันโด่งดัง พารากราฟส์ ออน คอนเซ็ปชวล อาร์ต (Paragraphson Conceptual Art) ของ โซล เลวิทท์ (Sol LeWitt) ศิลปินคนสำคัญในกลุ่ม มินิมอลลิสม์ (Minimalism) ที่เขียนลงนิตยสาร อาร์ตฟอรั่ม เมื่อปี 1969
   คอนเซ็ปชวล อาร์ต เป็นอีกกระแสศิลปะที่เกิดจากปฏิกิริยาต่อต้านศิลปะกระแสหลัก เป็นการตอบโต้แนวโน้มที่ศิลปะกลายเป็นสินค้าพาณิชย์มากขึ้นเรื่อยๆ ศิลปินคอนเซ็ปชวล อาร์ต จึงทำผลงานในแนวทางที่ตลาดศิลปะไม่ชอบ เป็นผลงานที่ขายไม่ได้หรือในงานบางประเภทก็ยากที่จะซื้อขาย ลำบากที่จะสะสม เพราะ คอนเซ็ปชวล อาร์ต จะเน้นที่ความคิดมากกว่าตัววัตถุและความสวยงามของมันในการทำงานของพวก คอนเซ็ปชวล อาร์ต จะมีการใช้วิธีการแบบสัญวิทยา (Semiotics, เซมิโอติคส์) เฟมินิสม์ (Feminism, ลัทธิสตรีนิยม) และวัฒนธรรมพ็อพ (ศิลปะและวัฒนธรรมแบบตลาดชาวบ้าน ซึ่งตรงกันข้ามกับศิลปะชั้นสูงอย่างวิจิตรศิลป์) มาใช้ในการสร้างงาน โดยมากจะไม่มีการใช้จารีตวิธีการทางศิลปะเดิมๆ เช่นในบางนิทรรศการ ศิลปินนำเสนอเอกสารข้อมูล บันทึกข้อมูลทางความคิดของศิลปิน ในบางงานมีการใช้คำ ใช้ภาษาหรือตัวหนังสือต่างๆ เช่น การสร้างคำหรือข้อความบนผนังแกลเลอรี
       คอนเซ็ปชวล อาร์ต ได้กลายเป็นคำอธิบายถึงศิลปะที่มีรูปแบบที่ไม่ใช่ทั้งจิตรกรรมหรือประติมากรรม เช่น งานที่ใช้สื่อการแสดงอย่าง เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Performance) หรือ วิดีโอ อาร์ต (Video Art) หรืองานอย่างพวก เอิร์ธ อาร์ต (Earth Art) ที่คนดูได้แต่ดูข้อมูลภาพร่างและภาพถ่ายที่ศิลปินบันทึกไว้ เพราะศิลปินแนวนี้มักจะทำผลงานขึ้นในป่าเขาและทะเลหากจะสืบย้อนกลับไปที่ต้นตอของศิลปะแนวนี้ ก็คงหนีไม่พ้นคนสำคัญของกลุ่ม ดาด้า (Dada) นั่นคือ มาร์เซล ดูชองป์ (Marcel Duchamp) ซึ่งเน้นที่ความคิดของศิลปินที่เข้าไปจัดการกับข้าวของและวัสดุสำเร็จรูปต่างๆ และต่อมาก็เป็นกลุ่ม แอ็คชัน (Action) เช่นในงานของ อีฟ แคลง (Yves Klein) ที่เคยจัดให้ผู้หญิงเปลือยตัวเลอะสีแล้วมาเกลือกกลิ้งบนผืนผ้าใบและ ปีเอโร แมนโซนี (Piero Manzoni) ที่เซ็นชื่อลงบนเรือนร่างของผู้หญิงเปลือยแล้วบอกว่านี่คือประติมากรรม ตัวอย่างเหล่านี้เป็นงานศิลปะที่ก่อให้เกิดคำถามว่า “งานศิลปะคืออะไร”
ลองมาดูผลงานแนว คอนเซ็ปชวล กันบ้าง ในงานของ โรเบิร์ต มอร์ริส (Robert Morris) คนดูเห็นกล่องและได้ยินเสียงดังมาจากภายในกล่อง เป็นเสียงที่ศิลปินได้บันทึกไว้ขณะที่สร้างกล่องใบนั้นขึ้นมา หรืองานที่เป็นกล่องอีกใบ ฝากล่องมีตัวหนังสือบอกไว้ว่า “แขวนกุญแจทิ้งไว้บนตะขอในตู้” (Leave Key on Hook inside Cabinet) และฝากล่องที่ว่านี้ก็ถูกล็อคไว้ด้วยกุญแจจริงๆ เสียด้วย
      ผลงานของ โจเซ็พ โคสุธ (Joseph Kosuth) มักจะเกี่ยวกับภาษา เช่นผลงานชื่อ ไทเทิลด์ (อาร์ต แอส ไอเดีย แอส ไอเดีย), (ไอเดีย) Titled (Art as Idea as Idea), (idea)
เมื่อปี 1967 เป็นภาพขนาดเมตรคูณเมตร เป็นตัวอักษรสีขาวบนพื้นดำ แจกแจงที่มาของคำว่า
   “ไอเดีย” สำหรับ โคสุธ แล้วความหมายของศิลปะที่ถูกแสดงออกในภาษานั้น สำคัญกว่าที่มันจะปรากฏออกมาเป็นภาพหรือเป็นรูปธรรม ในผลงานชิ้นนี้เขาได้แสดงให้เห็นถึงปรัชญาของ
คอนเซ็ปชวล อาร์ต ที่ว่า “ศิลปะที่เป็นความคิดที่เป็นความคิด” สำหรับศิลปินบางคน “ศิลปะที่เป็นความคิด” ก็ยังเป็นภาพยังเป็นรูปธรรม แต่ โคสุธ ทำให้ “ศิลปะที่เป็นความคิด” ให้เป็น
“ความคิด” จริงๆ เสียเลย การนำเสนอของเขามีทั้งปรากฏเป็นตัวอักษรนีออน แผ่นป้ายบิลบอร์ดและการลงโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์อีกศิลปินที่ใช้ตัวหนังสือและตัวเลขในการนำเสนอความคิด ตั้งแต่ปี 1966 เป็นต้นมา ออง คาวารา (On Kawara) ทำงานชุด จิตรกรรมวันที่ (Date Paintings) ผ้าใบแบบที่ใช้สำหรับเขียนภาพ ถูกระบายพื้นหลังเป็นสีดำ ตัวอักษรและตัวเลขสีขาวที่บ่งบอกวันเดือนปี ทำขึ้นชิ้นละวัน วันเดือนปีที่ระบุในภาพคือเวลาจริงที่เขาทำงานขึ้น งานของ คาวารา ไม่ใช่เพียงแค่แสดงภาพว่าแต่ละวันมีความหมายว่าอย่างไรแต่เขาแสดงข้อมูลที่ย่นย่อเรื่องราวสารพัดสารเพของแต่ละวันให้เหลือแค่สัญลักษณ์
        จอห์น บัลเดสซารี (John Baldessari) เป็นศิลปินสำคัญในแนวนี้อีกคนบ่อยครั้งที่เขาทำงานด้วยภาพถ่ายเก่าที่หาได้จากภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์เก่าๆ เขามักจะใช้ภาษาทางตัวอักษรและภาษาภาพในวัฒนธรรมพ็อพ เพื่อตั้งคำถามว่าคำจำกัดความของศิลปะคืออะไร ในปี 1966 ผ้าใบสำหรับเขียนภาพสีขาวว่างเปล่า มีเพียงตัวหนังสือที่ว่า “ทุกอย่างถูกชำระล้างออกไปจากจิตรกรรมชิ้นนี้ยกเว้นศิลปะ; ไม่มีความคิดอะไรในผลงานนี้” (Everything is purged from this painting but art; no idea have entered this work) บัลเดสซารี เคยเป็นจิตรกร ก่อนที่จะหันหลังให้การเขียนภาพแบบเดิมๆ เขาถึงกับทำพิธีเผาภาพเขียนที่เขาทำขึ้นระหว่างปี 1953-1966 ทิ้งเสียหมด เพื่อทำงาน คอนเซ็ปชวล อาร์ต อย่างจริงจัง
ศิลปินดังในแนวนี้อีกคน แดเนียล เบอเร็น (Daniel Buren) ที่โด่งดังในสไตล์การใช้ลายเส้นแถบขาวดำ (คล้ายลายผ้า) จนกลายเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปินคนนี้ไปเลยซึ่งเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งในตัวเองมาก เพราะมันขัดกับแนวความคิดในจุดเริ่มต้นของ เบอเร็น ที่ต้องการใช้ลายแถบขาวดำที่ดูเป็นกลางๆ ธรรมดาๆ เพื่อปฏิเสธและเย้ยหยัน “รูปแบบเฉพาะตัว” ของศิลปะและศิลปิน เบอเร็น ใช้ลายแถบขาวดำนี้ในรูปแบบการนำเสนอต่างๆ เช่น ทำเป็นป้าย
          บิลบอร์ด ทำเป็นธงติดเป็นริ้ว ทำเป็นแผ่นฉากต่อประกอบเข้ากับสถาปัตยกรรม
การที่ คอนเซ็ปชวล อาร์ต เน้นที่ความคิดของศิลปิน ทำให้กิจกรรมหรือความคิดต่างๆ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นศิลปะ โดยไม่จะเป็นที่จะต้องแปรความคิดนั้น ออกมาเป็นภาพแบบจิตรกรรมหรือประติมากรรม งานศิลปะร่วมสมัยในปัจจุบันจึงเปิดออกกว้างมาก มีการแข่งกันทำงานออกไอเดียกันแปลกๆ ใหม่ๆ จนชาวบ้านตามไม่ทัน ได้แต่สงสัยว่านี่ก็เป็นศิลปะได้ด้วยหรือการละทิ้งศิลปวัตถุ (ประติมากรรมและภาพเขียน) ทำให้เกิดข้อขัดแย้งระหว่างศิลปิน คนดู และนักวิจารณ์ นักวิจารณ์อย่าง โรเบิร์ต ฮิวส์ (Robert Hughes นักเขียนจากนิตยสาร ไทม์) และ ฮิลตัน คราเมอร์ (Hilton Kramer นักเขียนจากหนังสือ นิวยอร์ค ไทม์) กล่าวว่าเมื่อพวกเขาดูงาน คอนเซ็ปชวล อาร์ต พวกเขาเห็นจักรพรรดิที่ปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์
แม้ว่าศิลปะตะวันตกในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 จะมีการฟื้นฟูจิตรกรรมและประติมากรรม ที่ดูเหมือนว่าจะต่างไปจาก คอนเซ็ปชวล อาร์ต แต่แท้ที่จริงแล้วมีการซึมซับกันมา ทั้งวิธีการเล่าเรื่อง ทั้งในเรื่องการเมืองและภาพลักษณ์จากประวัติศาสตร์ศิลปะและวัฒนธรรมพ็อพ คำว่า นีโอ-คอนเซ็ปชวลลิสต์ (Neo-Conceptualist, คอนเซ็ปชวลใหม่) มักจะถูกใช้เพื่อโยงเข้ากับงานแนว อินสตอลเลชัน (Installation) และงานที่ไม่เป็นแบบจารีตเก่า
        ศิลปิน: มารินา อบราโมวิค (Marina Abramovic, 1946-), จีโอวานนี อันเซลโม (Giovanni Anselmo, 1934-), แอนท์ ฟาร์ม (Ant Farm), อาร์ต แอนด์ แลงเกวจ (Art & Language), จอห์น บัลเดสซารี (John Baldessari, 1931-), โรเบิร์ต แบร์รี (Robert Barry), เอียน แบ็กซ์เตอร์ (Lain Baxter), โจเซ็พ บอยส์ (Joseph Beuys, 1921-1986), เมล บอชเนอร์ (Mel Bochner), แดเนียล เบอเร็น (Daniel Buren, 1938-), วิคเตอร์ เบอร์กิน (Victor Burgin), เจมส์ ลี ไบอารส์ (James Lee Byars, 1932-1997), จอห์น เคจ (John Cage), หลุยส์ คัมนิทเซอร์ (Luis Camnitzer), เจมส์ โคลแมน (James Coleman), ฮาน ดาร์บาเวน (Hanne Darbaven, 1941-), แจน ดิบเบทส์ (Jan Dibbets, 1941-), เทอร์รี ฟอกซ์ (Terry Fox), แฮมิช ฟูลตัน (Hamish Fulton, 1946-), ฮันส์ แฮค (Hans Haacke), โฮเวิร์ด ฟลายด์ (Howard Fried), เจเนอรัล ไอเดีย (General Idea), แดน เกรแฮม (Dan Graham, 1942-), ดักลาส ฮูเบลอร์ (Douglas Heubler), เดวิด ไอร์แลนด์ (David Ireland), อลัน คาโพรว (Allan Kaprow, 1927-), ออง คาวารา (On Kawara, 1933-), พอล คอส (Paul Kos), โจเซ็พ โคสุธ (Joseph Kosuth, 1945-), ริชาร์ด ครีสเช (Richard Kriesche), ซูซาน ลาซี่ (Suzanne Lacy), แบร์รี่ เลอ วา (Barry Le Va, 1941-), เลส เลอวีน (Les Levine), ริชาร์ด ลอง (Richard Long, 1945-), ทอม มาริโอนี (Tom Marioni), จิม เมลเชิร์ท (Jim Melchert), อันโตนิโอ มิรัลดา (Antonio Miralda), โรเบิร์ต มอร์ริส (Robert Morris), อันโตนิโอ มุนตาแดส (Antonio Muntadas), บรูซ นาว์แมน (Bruce Nauman, 1941-), มอร์แกน โอฮาร่า (Morgan O?Hara), เดนนิส โอพเพนไฮม์ (Dennis Oppenheim), ไมค์ พารร์ (Mike Parr), เอเดรียน ไพเพอร์ (Adrian Piper), เดียร์เตอร์ รอธ (Dieter Roth, 1930-1998), อเล็น รุพเพอรส์เบิร์ก (Allen Ruppersberg), บอนนี เชิร์ก (Bonnie Sherk), ไมเคิล สโนว์ (Michael Snow, 1929-), อิมเมนท์ ทิลเลอรส์ (Imants Tillers), ริชาร์ด ทัทเทิล (Richard Tuttle), เบอร์นาร์ เวเน็ท (Bernar Venet, 1941-), ลอว์เรนซ์ ไวเนอร์ (Lawrence Weiner, 1940-), ทาร์ซูเอ ยามาโนโตะ (Tarsua Yamanoto)

OP Art


op-art1

อ็อพ อาร์ต
Op Art
ต้นคริสต์ทศวรรษ 1960-กลาง 1960
จิตรกรรมแบบ อ็อพ อาร์ต (Op Art) จะเด่นมากในการสร้างภาพนามธรรมที่เน้นรูปทรงเรขาคณิต ที่มีขอบและเส้นรอบนอกที่คมชัด ทิศทางของรูปทรงและเส้นรอบนอกมักจะหักเห ยักเยื้อง ทำให้ตาของเราเห็นว่ามันเคลื่อนไหววูบวาบ โดยเฉพาะเมื่อเราจ้องมองมันนิ่งๆ สักพัก แล้วเหลือบสายตาให้เคลื่อนไปจากเดิมเล็กน้อย รูปทรงและเส้นที่ศิลปินวางไว้อย่างเหมาะเจาะจะทำปฏิกริยากับการมอง ทำให้เห็นว่ามันเคลื่อนไหววูบวาบนิดๆ หรือในบางกรณีรูปทรงที่จิตรกรสร้างขึ้นจะดูนูนสูงขึ้น เว้าต่ำลงหรือปูดออกอย่างสมจริง ทั้งๆ ที่มันเป็นภาพแบนๆ เท่านั้น
         ลักษณะเด่นอีกสองประการก็คือ ภาพเขียนเหล่านี้มักจะดูเนี้ยบเป็นระเบียบ ราวกับถูกผลิตด้วยเครื่องจักร ไม่ใช่งานฝีมือมนุษย์ แสดงถึงความสมัยใหม่ ทำให้นึกไปถึงอะไรที่เป็นอุตสาหกรรม เป็นบุคลิกของเมืองใหญ่
            จุดสำคัญที่สุดของภาพแบบนี้คือ เป็นภาพที่มีผลต่อการมอง ทำให้เกิดการลวงตาชื่อ อ็อพ อาร์ต (เป็นที่นิยมในยุโรปและสหรัฐฯ) เป็นชื่อที่ย่อมาจากคำว่า อ็อพติเคิล อาร์ต (optical art) บางทีก็มีการเรียกว่า เรทินัล อาร์ต (retinal art) หรือ เพอร์เซ็ปชวล แอ็บสแตรคชัน (perceptual abstraction) หรือศิลปะที่เกี่ยวกับสายตาและการมองนั่นเอง
           ความเป็นมาของชื่อ อ็อพ อาร์ต เกิดขึ้นในปี 1964 จาก จอร์จ ริคคีย์ (George Rickey) ประติมากรชาวอเมริกัน ที่ออกไอเดียให้ชื่อนี้ขึ้นมาขณะที่พูดคุยกับ ปีเตอร์ เซลซ์ (Peter Selz) และ วิลเลียม ซีท์ซ (William Seitz) คิวเรเตอร์ (ภัณฑารักษ์) ของ เดอะ มิวเซียม ออฟ โมเดิร์น อาร์ต ในนิวยอร์ค
อ็อพ อาร์ต มีรากมาจากทฤษฎีการสอนศิลปะของ โจเซ็พ อัลเบอร์ (Josef Alber) ศิลปินชื่อดังของโลก ที่เคยสอนอยู่ในโรงเรียนศิลปะ บาว์เฮ้าส์ (the Bauhaus school of art) ในเยอรมนีระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1920 อัลเบอร์ สอนเกี่ยวกับทฤษฎีสีและการทดลองเกี่ยวกับภาพและการมอง
แม้ อัลเบอร์ จะไม่ได้ทำงานในลักษณะลวงสายตาอย่างวูบวาบแบบ อ็อพ อาร์ต โดยตรง แต่เขาเขียนภาพนามธรรมที่ใช้สีไม่กี่สี รูปทรงสี่เหลี่ยมเรียบง่าย แต่ให้ผลเป็นระยะเป็นมิติที่ลวงตาแบบนิ่งๆ มาตลอดชีวิต
นอกจากนี้ลักษณะเด่นของจิตรกรรมโดย บัลล่า (Balla) ศิลปินชาวอิตาลีในกลุ่ม ฟิวเจอริสม์ (Futurism) เมื่อคริสต์ทศวรรษ 1920 ก็มีอิทธิพลต่อ อ็อพ อาร์ต ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในแง่ที่ ฟิวเจอริสม์ ชอบภาพที่แสดงพลังความเคลื่อนไหว สีสันที่สดฉูดฉาดแสดงพลัง และทัศนคติที่เห็นดีเห็นงามไปกับเครื่องจักรกลไกที่แสดงความเจริญทันสมัย
ศิลปินที่ทำงานในแนว อ็อพ อาร์ต อย่างจริงจังและมีชื่อเสียงในแนวทางนี้มากคือ บริดเจ็ท ไรลีย์ (Bridget Riley) วิคเตอร์ วาซารีลี (Victor Vasarely) และ ลาร์รี พูนส์ (Larry Poons)
กระแสความเคลื่อนไหวที่สร้างชื่อกระฉ่อนให้แก่ อ็อพ อาร์ต คือ นิทรรศการ เดอะ เรสปอนซีฟ อาย (The Responsive Eye) จัดโดย เดอะ มิวเซียม ออฟ โมเดิร์น อาร์ต ในนิวยอร์ค เมื่อปี 1965
วงจรชีวิตของศิลปะกระแสนี้มีอายุค่อนข้างสั้น เมื่อ อ็อพ อาร์ต ถูกนำไปใช้ในการทำลวดลายผ้าสิ่งทอและการออกแบบตกแต่งภายใน ความนิยมในแวดวงศิลปะก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว คนทั่วไปอาจจะไม่รู้จัก อ็อพ อาร์ต เท่าไรนัก แต่งานดีไซน์ต่างๆ ที่ใช้ลวดลายแบบ อ็อพ อาร์ต กลับได้รับความนิยมมาก
ศิลปิน: บริดเจ็ท ไรลีย์ (Bridget Riley), วิคเตอร์ วาซารีลี (Victor Vasarely), ลาร์รี พูนส์ (Larry Poons)
ข้อมูลจากhttp://www.designer.co.th/artistic-movement/op-art.html

Dadaism art & Sur-realism art

ศิลปะลัทธิดาดา Dadaism art และ ศิลปะลัทธิเซอร์เรียลิสม์ Sur-realism art

(ศิลปกรรมตะวันตกที่ได้รับผลสะท้อนจากภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1)

ศิลปะลัทธิดาดา Dadaism art

เป็นศิลปินที่ต้องการแสดงความน่าเกลียด น่ากลัว ตลก หยาบโลน เพื่อให้รู้สึกสำนึกถึงผลของสงคราม dada หมายถึงม้าโยกของเด็กฝรั่งเศส สอดคล้องกับแนวคิดสนุกสนานเย้ยหยันถากถาง ไร้สาระ ศิลปะกลุ่มดาดาจึงเป็นการหมุนกลับจากศิลปะแบบนามธรรมไปสู่ศิลปะแห่งการประชดประชัน กระแทกแดกดัน เยาะเย้ยถากถางอย่างไร้เหตุผล

ดูชัมป์ (1887-1968AD.)เป็นศิลปินคนสำคัญในกลุ่มนี้ ผลงานของเค้าได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก




Marcel Duchamp Fountain, 1916-17




Marcel Duchamp - "L.H.O.O.Q." - (1919) - Phonetically: "elle a chaud au cul" or "She's got a hot ass."













ศิลปะลัทธิเซอร์เรียลิสม์ Sur-realism art


ลัทธิเหนือความเป็นจริง มีเป้าหมายต่อต้านสงคราม และการต้องการทำลายค่านิยมทุกชนิดของชนชั้นกลาง ตลอดจนผลผลิตของอารยธรรมตะวันตกให้สิ้นซาก โดยมีอิทธิพลของซิกมันด์ ฟรอยด์ (1856-1934AD.) โดยพยายามศึกษาพลังและความเร้นลับทางจิต โดยนำสภาวะความเป็นจริงและความฝันมารวมกันกลายเป็นความจริงสูงสุด เป็นการปลดปล่อยจิตให้เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ ศิลปินที่สำคัญได้แก่

มาร์ค ชากาล นำนิทานพื้นบ้าน
จากรัสเซียบ้านเกิดมานำเสนอ มีชื่อเสียงและได้รับรางวัลมากมาย


The birthday Marc chagall 1915


ซัลวาดอร์ ดาลี ชาวสเปนใช้เทคนิคทฤษฎีอันฉับพลันของความเข้าใจอันไร้เหตุผลมีพื้นฐานอยู่บนการตีความหมายที่เกี่ยวพันกับปรากฏการณ์ของจิตอันแปรปรวน เน้นรูปทรงประหลาดหลายๆอย่าง


Premonition Of Civil War, by Salvador Dali, 1936



The Persistence of Memory (1931), Salvador Dali.



ข้อมูลจากhttp://www.bloggang.com/mainblog.php?id=taiguy&month=30-09-2009&group=1&gblog=9

7 Wonders of the Ancient World

7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก ยุคโบราณ

1. The Great Pyramid of Giza
ตำแหน่งที่ตั้งประเทศอียิปต์ตั้งอยู่ห่างจากกรุงไคโรเมืองหลวงของอียิปต์ปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ 2-3 กิโลเมตร กลางทะเลทราย ทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้
มหาพีระมิดของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ห่างไปทางตอนใต้ของ เมืองอะเล็กซานเดรีย ประมาณ 160 กิโลเมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 12 เอเคอร์ และมีอายุตั้งแต่สมัย 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้นซึ่งพีระมิดของกษัตริย์คูฟู สูงถึง 147 เมตรฐานกว้างด้านละ 230 เมตร ใช้หินก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน รวมใช้ก้อนหิน 2,300,000 ก้อน รวมน้ำหนักกว่า 6,000,000 ตัน มีการเตรียมการสร้างถึง 10 ปี ใช้แรงงานถึง 100,000 คน มาใช้แรงงานถึง 20 ปี เพื่อสร้างพีระมิด ดังกล่าวให้จนลุล่วงจุดมุ่งหมาย ของสิ่งก่อสร้างนี้ ในเบื้องแรกก็เพื่อบรรจุพระศพของกษัตริย์อียิปต์พระนามคีออปส์หรือ คูฟู ปัจจุบันส่วนยอดของพีระมิด ทรุดโทรมลง จนมีความสูงเพียง 137 เมตรพีระมิดแห่งเมืองกิซามี 3 องค์คือ พีระมิดซีเฟรน พีระมิดไมเซอนิรุส แลพีระมิดคีออปส์ ซึ่งพีระมิดคีออปส์เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด


2. The Hanging Gardens of Babylon

 ตำแหน่งที่ตั้งกลางทะเลทราย เมืองแบกแดด ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรัก
ปัจจุบัน ทั้งสวนและผนังดังกล่าวทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือซากแล้วรายละเอียดสวนลอย หรือ สวนสวรรค์แห่งเมืองบาบิโลนนี้ กินเนื้อที่ 4 เอเคอร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 63 โดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย หลังจากการพิชิตปราบปรามเมืองใกล้เคียงมาอยู่ในอำนาจ แล้วก็กวาดต้อนประชาชนพลเมืองมาใช้เป็นทาสให้สร้างสวนสวรรค์นี้ขึ้นบนทะเลทราย มีกำแพงดินกั้นล้อมรอบและประกอบด้วยลานกว้างๆ เป็น หลาย ๆ ส่วนบนพื้นที่โค้งมีความสูงมากและปลูกต้นไม้ ดอกไม้สีสันสดใสสร้างสระน้ำสีต่างๆ ทำน้ำตก น้ำพุ โดยทำท่อทดเอาน้ำมาจากแม่น้ำยูเฟตีส สวนแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประพาส หย่อนพระทัยของพระมเหสี เซมีรามีส

 3. The Statue of Zeus at Olympia
ตำแหน่งที่ตั้งเมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้วซุส สร้างขึ้นในปี ค.ศ.53-111ซึ่งชาวโรมันเรียกว่า จูปีเตอร์ เป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวกรีกโบราณนับถือมากและเคารพสักการะบูชามาก เทวรูปซีอุสแกะสลักด้วยงาช้างจำนวนมากประกอบกันขึ้นมีขนาดสูง 58ฟุต เป็นรูปเทพเจ้านั่งบนบัลลังก์สีทอง พระหัตถ์ซ้ายทรงคธา พระหัตถ์ขวารองรับรูปปั้นแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับด้วยทองคำล้วนอาจพังทลายเพราะ แผ่นดินไหว ในศตวรรษที่ 6 แห่งคริสตกาล ต่อมาถูกขนย้ายไปยัง กรุงคอนสแตนติโนเปิล และสุดท้ายถูกไฟไหม้เสียหายชาวโรมันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จูปีเตอร์ ชาวกรีกได้เรียกเทวรูปนี้ว่า ซุส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นผู้นำแห่งเทพเจ้า ชาวกรีกนับถื่อมากที่สุดในยุคนั้น ใครจะออกเดินทางไปเมืองใดต้องมาพรจากพระองค์เสียก่อน
        แต่บัดนี้ไม่มีหลักฐานให็เป็นที่ชมได้เพราะได้ถูกไฟเผาไหม้หมดทั้งองค์ในปี ค.ศ. 476 คงเห็นภาพในเหรียญ ตราโบราณ 
และจากจินตนาการที่ได้มาจากคำบอกเล่า หรือ นิยายปรัมปราเท่านั้น แต่ความงาม ความใหญ่โตศักดิสิทธิ์ ยังคงเป็นที่ยกย่องเล่าลือมาจนถึงปัจจุบันนี้ 
4. The temple of Artemis at Ephesus
ตำแหน่งที่ตั้งเมืองเอเฟซุส ประเทศกรีซ
ปัจจุบันยังมีซากหลงเหลืออยู่บ้างไม่มีหลักฐานปรากฏว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่ได้บูรณะซ่อมแซมในปี ค.ศ.186 เพราะถูกไฟไหม้ มหาวิหารเดียนา มีเนื้อที่กว้าง 54,720 ตารางฟุต ตัววิหารกว้าง 160 ฟุต ยาว 342 ฟุต มีเสาหินอ่อนด้านละ 20 ต้น ด้านหน้าด้านหลัง 8 ต้น แต่ละต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 ฟุต สูง 60 ฟุต หลังคามุงกระเบื้องหินอ่อน เป็นวิหารที่สวยที่สุดในสมัยนั้น มหาวิหารเดียนา สร้างขึ้นเพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมิส ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ ได้ช่วยกู้ความหายนะของเมืองไว้ ได้ถึง 2ครั้งถูกทำลายโดยพวกโกธ จากเยอรมัน ที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อ ค.ศ. 262


5. The Mausoleum of Maussollos at Halicarnassus
ตำแหน่งที่ตั้ง เมืองฮาลคาร์นาซซัส ประเทศตุรกี

ปัจจุบันยังมีซากหลงเหลือสุสานของกษัตริย์โมโซรุสหรือที่เก็บศพโมโซรุสเป็นสถานที่เก็บหรือฝังศพของพระเจ้าโมโซรุสกษัตริย์แห่งเอเชียไมเนอร์ปัจจบันคือเปอร์เซียซึ่งพระนางอาเตมีเซีย ราชินีได้ขึ้นครองราชย์ ต่อจากพระราชสวามีได้เป็นผู้สร้างขึ้น ที่เมืองซาเรีย (ปัจจุบันคือ เมืองฮาลคาร์นาซซัส )โดยใช้ช่างออกแบบ ฟิดิอัส ซาติรัสบรายอาซีส สโคปาส ทิโมทิอัส ที่มีชื่อเสียง ฝีมือเยี่ยมในกรีซทั้งหมดมาช่วยกันสร้างด้วยหินอ่อน แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จพระนางก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน เมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาลมีความสูง 43 เมตร บนยอดมีรูปปั้นโมโซรุส ประทับบนราชรถเทียมด้วยม้าทั้งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บศพพระราชสวามีของพระนางแต่เพียงอย่างเดียวซึ่งนับว่าเป็นสุสานที่ใหญ่โตพิศดารและสูงที่สุดในโลกอาจจะทรุดพังเพราะแผ่นดินไหว



 6. The Colossus of Rhodes


ตำแหน่งที่ตั้งเกาะโรดส์ ประเทศกรีซปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันเทวรูปโคโลสซูส เป็นเทพเจ้าที่ชาวกรีกเคารพนับถือมาก ซึ่งกษัตริย์ชาเรสแห่งลินดัส สร้างขึ้นเมื่อ 280 ปี ก่อนคริสต์กาลเทวรูปนี้หล่อด้วยทองสำริดในท่ายืนสูง 100ฟุต มือขวาถือประทีป เทวรูปตั้งอยู่บนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าว องค์เทวรูปยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดไปมาได้ เทวรูปโคโลสซูส หรือเทพเจ้าอพอลโป ประดิษฐานอยู่บนเกาะโรดส์ ประเทศกรีซและเมื่อ 224 ปี ก่อนคริสต์กาล เกิดแผ่นดินไหว เทวรูปจึงพลังลงมา ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซากทองเหลืองที่เหลืออยู่จึงถูกขายให้แก่ชาวเมือง ซาราเชนส์ ไปทำอาวุธในการทำสงครามจนหมด ปัจจุบันสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นนี้ได้สูญสลายไปหมดแล้ว

 7. The Lighthouse of Alexandria
ตำแหน่งที่ตั้งเกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้วกระโจมไฟฟาโรส หรือ ประภาคารฟาโรส อันยิ่งใหญ่นี้ พระเจ้าปโตเลมีฟิลาเดลฟัส กษัตริย์แห่งประเทศอียิปต์ เป็นผู้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสลักลวดลายวิจิตรงดงาม อยู่บนเกาะฟาโรส ที่อ่าวหน้าเมืองอเล็กซานเดรีย ประมาณ 271ปีก่อนคริสตกาล สร้างขึ้นเพื่อ เป็นสัญลักษณ์ที่สังเกตเห็นแก่หมู่เรือทั้งหลาย ที่ไปมาติดต่อค้าขายในการเข้าไปยังเมืองท่า ซึ่งครั้งนั้นอียิปต์ เป็นประเทศที่เจริญในวิทยาการต่างๆใครๆ ก็ชอบติดต่อเหตุนี้จึงต้องสร้างประภาคารขึ้นจุดตะเกียงแก๊สตลอดทั้งคืนเพื่อให้ผู้ที่ไม่เคยเดินเรือใช้เป็นที่สังเกตจะได้ไม่หลงและนอกจากนั้นแล้วยังใช้เป็นหอคอยไว้ดูข้าศึกที่จะมารุกรานอีกด้วยเพราะกระโจมนี้สูงถึง 180 เมตรหลังจากเกิดแผ่นดินไหว อาคารนี้ก็พังทลายลงมาตั้งแต่ ค.ศ. 955และถูกทำลายโดยสมบูรณ์ในช่วงศตวรรษที่ 14
ข้อมูลจากhttp://board.postjung.com/534730.html

7 Wonders of the Middle World

 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ในยุคกลาง 

Mosque of Hagia Sophia (Istanbul)
1. สุเหร่าเซนต์โซเฟีย เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี
สถานที่ตั้ง เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
สุเหร่าเซนต์โซเฟีย(Saint Sophia) หรือ โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ในอดีตเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์ พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้างเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่13 ใช้เวลาสร้าง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้งเพราะเกิดการขัดแย้งระหว่าง พวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลามจนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียน มีอำนาจเหนือตุรกี จึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์ 20 ปี ตัวโบสถ์ 5 ปี เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1996 (ค.ศ 1435) พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุดได้พยายามหา สิ่งของมีค่าต่างๆ มาประดับไว้มากมาย สร้างเสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่าง มโหฬาร ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างใหญ่ทำให้แตกร้าวต้องให้ช่างซ่อมจนเรียบร้อยในสภาพเดิมเมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสตินเนียน ถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมเม็ดที่ 2 มีอำนาจเหนือตุรกี และเป็นผู้นับถือศาสนา อิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์หลังนี้ให้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงความงามไว้เช่นเดิมสุเหร่าเซนต์โซเฟีย มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสางามค้ำที่สลักอย่างวิจิตร และ ประดับไว้งดงาม 108 ต้น (ชั้นบนขนาดเล็ก 68 ต้น ชั้นล่างขนาดใหญ่ 40 ต้น) มียอดเป็นโดม คล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลม ๆ มากมาย เนื่องจากศิลปะแบบคริสเตียน ผสมกับอิสลามนี้เองทำให้มีความสวยงามอันน่ามหัศจรรย์
The Roman Colloseum, Italy
2. สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี
สถานที่ตั้ง กรุงโรม ประเทศอิตาลีปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

สนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ที่ ใหญ่โตของอาณาจักร โรมันสมัยโบราณสร้างขึ้นในระหว่าง พ.ศ. 615 ถึง 623 (ค.ศ. ที่ 72 ถึง 80) ตัวสนามสร้างมีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น ภายในมีอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 80,000 คน ใต้อัฒจรรย์ และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมาก ปี ๆ หนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคนสนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลง ก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน ในปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม

The Great WallChina
3. กำแพงเมืองจีน
สถานที่ตั้ง ประเทศจีน ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้กำแพงเมืองจีน หรือกำแพงอิฐยักษ์ เป็นกำแพงกั้นเมือง และกั้นประเทศทั้งประเทศ ตามพรมแดนด้านเหนือของจีน เป็นกำแพงที่ยาวใหญ่มหึมา หาที่ใดในโลกมาเปรียบ ไม่ได้อีกแล้ว มีขนาดกว้างตั้งแต่ 4.5 เมตร ถึง 7.5 เมตร(10 ฟุต) ซึ่งทหารม้าเข้าแถวเรียง 8 ได้อย่างสบาย ๆ มีความสูง จากพื้นด้านล่างตั้งแต่ 8 เมตร ถึง 9 เมตร(20-30 ฟุต หนา15-25 ฟุต) สูงพอที่จะไม่สามารถ ปีนข้ามไปได้ง่าย ๆ เดิมเชื่อว่ามีความยาว 2,550 ไมล์ ( 2,400 กิโลเมตร) บนกำแพงทุก ๆ ระยะ 200 เมตร(300 ฟุต) จะมีหอหรือป้อม สำหรับตรวจเหตุการณ์ มีป้อมมากกว่า 15,000 แห่ง สร้างสูงขึ้นไปอีก 3 เมตร ถึง 6 เมตร และมีระฆังแขวน เพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุ ไว้ประจำทุกหอ รวมทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 20,000 หอ เริ่มสร้างระหว่างปี พ.ศ. 300-329 (243-252ปีก่อนคริสตกาล)
ในสมัยพระเจ้าซี่วังตี่ ใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปี และมีการสร้างต่อเติมอีกหลายกครั้ง ใช้แรงงานเกณฑ์จากราษฎรทั้งประเทศ นับจำนวนล้าน มีผู้เสียชีวิตนับพันนับหมื่นเป็นสิ่งก่อสร้าง ชนิดเดียวในโลก ที่สามารถมองเห็น เมื่อมองจากดวงจันทร์ ในสมัยนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่ป้องกันข้าศึกได้อย่างดีเยี่ยม ปัจจุบันไม่มีความหมายในด้านป้องกันประเทศอีกแล้วคงมีค่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก
Porcelian Tower of Nanking
4. เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง ประเทศจีน
สถานที่ตั้ง เมืองนานกิง ประเทศจีน ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง เป็นสิ่งก่อสร้างเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม สูง 9 ชั้น สูง 261 ฟุต หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว มีกระดิ่งแขวนไว้ 80 ลูก และโคมไฟประดับอีกหลายร้อยผูกแขวนไว้ตามชายคา ยอดเจดีย์เป็นรูปกลมปิดทอง องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งหมด เดิมทีพุทธศาสนิกชนชาวจีนเป็นผู้สร้างไว้เพียง 3 ชั้นใน ค.ศ. 1430 จักรพรรดิ์ยุ่งโล้ แห่งราชวงศ์เหม็งได้โปรดให้จัดสร้างเสริมขึ้นไปอีกจนสูง 9 ชั้น มีสายโซ่โยงลงมา 8 เส้น มีกระดิ่งแขวนตามสายโซ่ 72 ลูก เวลาลมพัดมีเสียงดังไพเราะมาก เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกคุณบิดา มารดา จักรพรรดิ์ยุ่งโล้ได้บรรจุเครื่องบูชาที่ทำ ด้วยของมีค่า พวกเงิน ทองคำ และอัญมณีอื่นๆ จำนวนมาก กล่าวกันว่า บนยอดเจดีย์มีลูกบอลปิดทอง มีเหล็กวงแหวนล้อมรอบถึง 9 วงมีไข่มุก ขนาดใหญ่ 5 เม็ดอยู่ที่ปลายเป็นเครื่องลางบอกความมีโชคชัย ของกรุงนานกิงเจดีย์นี้เคยถูกฟ้าผ่า และถูกพวกกบฎไต้เผ็ง ทำลายเมื่อปี พ.ศ. 2396 (ค.ศ. 1853) เสียหายมาก ต้องมีการซ่อมแซมเพื่อให้ส่วนที่เหลืออยู่ได้อวดความงามอันน่ามหัศจรรย์ต่อไป ส่วนของมีค่าภายในนั้นถูกปล้นสะดมสูญหายไปหมดแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังได้ชื่อว่า เป็นเจดีย์ที่ทำด้วยกระเบื้องเคลือบ วิจิตรงดงามมีค่าสูงยิ่ง


 Stonehenge
5. สโตนเฮนจ์ เมือง ซัลลิสเบอรี่ ประเทศอังกฤษ
สถานที่ตั้ง เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
กองหินประหลาดนี้อยู่กลางทุ่งนาแห่งเมืองซัลลิสเบอรี ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ประกอบด้วยแนวหินขนาดมหึมาหินเรียงรายราว ๆ 3 กิโลเมตร และ มีกลุ่มหินใหญ่ประมาณ 112 ก้อน ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งนา เป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อนวงกลมรอบนอก มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 100 ฟุต มีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูง 13 ฟุต วงกลมรอบกลาง มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มีสองก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต วงในสุด มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 50 ฟุต มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ล้มบ้างตั้งสูงบ้าง หินแต่ละก้อนหนักเป็นตันๆ เฉลี่ยแล้วสูง 4 เมตร หนัก 26 ตันมีผู้สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ในที่นั้นมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลถึง 1,700 ปี เป็นสิ่งก่อสร้างที่โดยไม่มีร่องรอยของความเป็นมา ไม่มีใครทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง, สร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ที่น่าแปลกก็คือ ในริเวณนั้นเป็นทุ่งกว้าง ไม่มีภูเขาและสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่นๆ อีกเลย จึงทำให้สงสัยว่าผู้ก่อสร้างนำหินเหล่านั้นมาจากไหน และไม่ปรากฏว่ามีการขน หรือสิ่งปรักหักพังในการก่อสร้าง บริเวณที่ดังกล่าว ใช้อะไรยกหินก้อน ที่หนักๆ หลาย ๆ ตันขึ้นวางซ้อนกันได้ ซึ่งอยู่สูงถึง 13ฟุต นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่ท้าทายความอยากรู้ของมนุษย์ยุคปัจจุบันยิ่งนัก



Catacombs of Alexandria Egypt
6. สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย (คาตาโคมป์) เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
สถานที่ตั้ง เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย เป็นอุโมงค์ที่เก็บศพ และทรัพย์สมบัติของกษัตริย์อียิปต์โบราณ อุโมงค์ฝังศพนี้ มีชื่อเรียกว่า คาตาโคมบ์ (Catacombs) เป็นอุโมงค์ที่สร้างด้วย หินก้อนใหญ่ ๆ และ ขุดลึกลงไปเป็นชั้นๆ บางตอนลึกถึง 21 ถึง 24 เมตร (70-80 ฟุต) มีทางเดินกว้างถึง 1.2 เมตร (3-4 ฟุต) วกไปเวียนมา เป็นระยะทางหลาย ๆ กิโลเมตร ตามริมผนังของอุโมงค์เป็นช่อง ๆ ไว้ สำหรับเป็นที่ บรรจุศพ มีแท่นบูชาอยู่หน้าช่องบรรจุศพเหล่านั้น พร้อมตะเกียงดวงเล็กๆ แขวนไว้ บางส่วนของอุโมงค์ตกแต่งทั่ว ๆ ไปไว้อย่างวิจิตรงดงาม ปัจจุบันยังคงมีสภาพสมบูรณ์

Leaning Tower of Pisa
7. หอเอนเมืองปิซา ประเทศอิตาลี
สถานที่ตั้ง เมืองปิซา ประเทศอิตาลี ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
หอเอนแห่งเมืองปิซา เป็นหอคอยหินอ่อนที่พิศดาร สูง 54 เมตร ( 181 ฟุต) มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตรรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ. 1717 (ค.ศ. 1174) ไปเสร็จในปี พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) ใช้เวานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก ความน่ามหัศจรรย์อีกอย่าง คือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5 ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกับพังทลายลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ เมื่อสร้างเสร็จ ยอดของหอเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 4 เมตร( 14 ฟุต) และหอเอนนี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของเทห์วัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง

7 Wonders of the New World

สุดยอด 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก ยุคใหม่
Chichén Itzá, Mexico
1.เมืองโบราณซีเชน อิตซา ของชนเผ่ามายา ในเขตยูคาทาน เม็กซิโก
ชิเชน อิตซา ตั้งอยู่ที่คาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก เป็นเมืองศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของเผ่ามายา ตัววิหารที่สร้างถวายแด่เทพเจ้าของชนเผ่ามายาสร้างอยู่บนเนื้อที่กว่า 6.4 ตรารางกิโลเมตร มีลักษณะเป็นปีระมิดเป็นชั้นลดหลั่นลงมา และมีบันไดอยู่ตรงกลาง บนยอดเป็นแท่นบูชาสำหรับทำพิธีกรรมสังเวยแด่เทพเจ้าชนเผ่ามายาได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่มีความป่าเถื่อนในการบูชายันมนุษย์ แต่ก็ได้ชื่อว่ามีความเจริญทางภาษาและความรู้ทางคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ โดยมีการสร้างปฏิทินมายาขึ้นโดยกำหนดให้ 1 ปี มี 18 เดือนและแต่ละเดือนมี 20 วัน ดังนั้น 1 ปีของชาวมายาจึงมี 360 วันและมีการเพิ่มวันที่ไม่ขึ้นกับเดือนใดเข้าไปอีก 5วัน แม้จะมีความรู้ถึงเพียงนี้แต่พวกนี้กลับไม่ค้นพบการประดิษฐ์ล้อแต่อย่างใด
Christ Redeemer, Brazil
2. รูปปั้นพระเยซูคริสต์ หรือคริสต์ รีดีมเมอร์ บนยอดเขาในนครริโอ เดอ จาเนโร ของบราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่บนยอดเขาโคคาวาดู ( Cocarvado ) กรุงริโอ เดอ จาเนโร ( Rio de Janero ) ประเทศบราซิล มีความสูงราว 38 เมตร สร้างในปีค.ศ. 1921ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดา ซิลวา กอสตา( Heitor da Silva Costa ) ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี ( Paul Landowski ) ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม 1926 ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังฐานของรูปปั้นเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองริโอ เดอ จาเนโรได้
The Great Wall, China 
3.กำแพงเมืองจีน (ติดโผครั้งที่ 2 จากยุคกลาง)
กำแพงเมืองจีน หรือ กำแพงหมื่นลี้ สร้างในสมัยของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์ก และได้มีการสร้างกำแพงต่ออีก 4 ครั้งใหญ่ๆโดยส่วนใหญ่ถูกสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง แต่ก็ถูเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียบุกข้ามกำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ กำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างพรมแดนจีนกับธิเบต มีความสูงจากพื้นดิน 20 - 30 ฟุต กว้าง 15 - 20 ฟุต ยาวประมาณ 2,400 กิโลเมตร กำแพงก่อด้วยดิน หินและอิฐ โดยทุกๆ 200 เมตรจะมีหอตรวจการอยู่ และมีระฆังแขวนอยู่ทุกหอรวมไม่ตำกว่า 20,000 หอ ระหว่างการก่อสร้างมีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคนและศพของผู้เสียชีวิตก็ถูกผังอยู่ในกำแพงนั่นเอง กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างสิ่งเดียวของมนุษย์ที่สามารถมองเห็นได้จากดวงจันทร์ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนส่วนที่เหลืออยู่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสิ้น กำแพงเมืองจีนถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย
Machu Picchu, Peru
4. เมืองโบราณมาชูปิกชู ของชนเผ่าอินคา ในเปรู
มาชู พิคชู หรือนครสาบสูญแห่งอินคา ( The Lost City of the Incas ) เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนภูเขาในประเทศเปรู อยู่สูงจากระดับนำทะเลถึง 2,350 เมตร มาชู พิคชูสร้างโดยจักรวรรดิ์อินคา และถูกทิ้งร่างเมื่ออินคาพ่ายแพ้แก่ชาวสเปน จนกระทั่งถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวอเมริกันชื่อ ฮิราม บิงแฮม ( Hiram Bingham ) ในปีค.ศ. 1911
Petra, Jordan
5. เมืองโบราณเพตรา ในจอร์แดน
นครเพตรา เป็นนครที่แกะสลักลงบนหุบเขาใกล้ทะเลสาบเดดซี(Dead sea) และอ่าวอัคบา (Gulf of Aqaba) เมืองเพตราถูกสร้างโดยชาวบานาเทียน ( Nabataeans ) ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกลางทะเลทรายอาหรับ ซึ่งได้สกัดหน้าผาหินทรายให้เป็นบ้านเรือนสำหรับพักอาศัย และได้เปลี่ยนจากอาชีพเลี้ยงแกะมาเป็นพ่อค้าและรับคุ้มครองกองคาราวาน ทำให้เพตราเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่มีพ่อค้าชาวกรีกได้อธิบายถึงความมั่งคั่งของเพตราว่าเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของชาวอาหรับ เปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสตศักราชที่ 70 ในช่วงเวลานี้เปตราถูกปกครองด้วยกษัตริย์นาม อารีตัสที่ 4 ( Aretas IV ) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องว่า ฟิโลเดมอส ( Philodemos ) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน เพตราเริ่มเสียอำนาจเมื่อมีเส้นทางการค้าที่สะดวกและปลอดภัยกว่าเกิดขึ้น จนกระทั่งปีค.ศ. 106 เพตราถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรโรมัน จนคริสตศตวรรษที่ 5 เพตรากลายเป็นที่ตั้งของมณฑลของบิชอบ 
และถูกมุสลิมยึดครองในครสตศตวรรษที่ 7 และค่อยๆเสื่อมลงจนหายไปจากประวัติศาสตร์ จนกระทั่งถูกค้นพบโดย นักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โจฮันน์ ลุควิก เบิร์กฮาร์ท ( Johann Ludwig Burckhardt ) ในปีค.ศ. 1812 เพตราจึงได้ปรากฏโฉมต่อชาวโลกอีกครั้ง
The Roman Colloseum, Italy (ติดโลกครั้งที่ 2 จากยุคกลาง)
6. สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี
โคลอสเซียมเป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ในกรุงโรม สร้างในสมัยจักรพรรดิ์เวสปาเชียน ( Emperor Vespasian ) แห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไตตัส ( Titus ) ในคริสตศตวรรษที่ 1โคลอสเซียมมีลักษณะเป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมก่อด้วยหินทรายและอิฐวัดโดยรอบประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร จุคนได้ประมาณ 80,000 คน มีห้องสำหรับขังทาส นักโทษ และสัตว์ดุร้าย เช่น สิงโต เสือ โดยจะให้ทาสสู้กันเองจนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจึงจะได้รับอิสระภาพ หรือ ให้นักโทษสู้กับสิงโตที่หิวโซเนื่องจากถูกจับอดอาหาร ในแต่ละปีมีนักโทษและทาสตายไม่ต่ำกว่า 100 คน โคลอสเซียมถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย
The Taj Mahal, India
7. ทัชมาฮาล ในเมืองอักรา ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮาล สร้างโดยจักรพรรดิ์ชาห์ เจฮัน ( Emperor Shah Jahan ) เพื่อเป็นอนุสรณืแห่งความรักแด่พระมเหสีมุมทัช มาฮาล ( Mumtaz Mahal ) ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างสร้างระหว่าง ค.ศ.1630-1648 ณ สวนริมผั่งแม่นำยมนา เมืองอัครา ออกแบบโดยอุสตาด ไอสา (Ustad lsa)สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวจากเมืองมะครานา หินอ่อนสีแดงจากเมืองฟาตีบุระ หินอ่อนสีเหลืองจากฝั่งแม่น้ำนรภัทฑ์ เพชรตาแมวจากกรุงแบกแดด ปะการัง และ หอยมุกจากมหาสมุทรอินเดีย หินเจียระไนสีฟ้าจากเกาะลังขะ เพชรจากเมืองบนทลขัณฑ์ ทัชมาฮาลได้รับการรับรองจากสถาปิกทั่วโลกว่าสร้างได้ถูกสัดส่วน และงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตรมีหอสูงมีโดมอยู่บนรอบทั้ง 4 มุม ภายใต้โดมใหญ่มีโลงหินอ่อนประดับด้วยอัญมณีมากมายบรรจุอยู่ แต่โลงพระศพจริงๆอยู่ในอุโมงค์ข้างใต้โลงหินนั้น เดิมชาห์ เจฮันตั้งพระทัยจะสร้างสุสานสำหรับพระองค์เองที่อีกฝั่งของแม่น้ำยมนา โดยสร้างให้เหมือนกับทัชมาฮาลแต่สร้างด้วยหินอ่อนสีดำ แต่ถูกพระโอรสจับพระองค์ขังอยู่ 7 ปีจึงสิ้นพระชนม์ และพระศพของพรองค์ถูกฝังอยู่เคียงข้างมิ่งมเหสีสุดที่รักนั่นเอง ส่วนอุสตาด ไอสาสถาปนิกผู้ออกแบบก็ถูกชาห์ เจฮันสั่งประหารเนื่องจากไม่ต้องการให้ออกแบบสถาปัตยกรรมใดๆที่สวยกว่าทัชมาฮาลได้